ทำไมการจ่ายตามการใช้งานคลาวด์ถึงช่วยประหยัดต้นทุนได้มากกว่าที่คิด(Pay-as-you-go)

Public Cloud
Public Cloud

ปัจจุบันผู้บริหารหลายท่านกำลังมองหาวิธีลดต้นทุนด้านไอทีอย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีมีความสำคัญต่อธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ การคิดค่าบริการตามปริมาณการใช้งานจริง (Pay-as-you-go) ของระบบคลาวด์ไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่าระบบการคิดค่าบริการแบบนี้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณได้เปรียบคู่แข่งได้อย่างไร

ทำความเข้าใจระบบการคิดค่าบริการตามการใช้งานจริง

การคิดค่าบริการตามการใช้งานจริงในระบบคลาวด์เปรียบเสมือนการจ่ายค่าไฟฟ้า – คุณจ่ายเฉพาะส่วนที่ใช้งานจริงเท่านั้น ซึ่งต่างจากระบบแบบดั้งเดิมที่องค์กรต้องลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ไอทีจำนวนมากเพื่อรองรับการใช้งานสูงสุด แม้ว่าจะใช้งานจริงเพียง 30-40% ก็ตาม
ที่น่าสนใจคือ ผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำส่วนใหญ่ เช่น AWS, Google Cloud, Microsoft Azure มักมีบริการเริ่มต้นฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเริ่มใช้งาน ทำให้องค์กรสามารถทดลองใช้งานและเรียนรู้ระบบได้โดยไม่มีความเสี่ยงด้านการเงิน
ข้อดีที่สำคัญของระบบนี้:

  • ไม่ต้องจ่ายค่าลงทุนล่วงหน้าจำนวนมาก
  • เริ่มต้นใช้งานได้ฟรีในช่วงแรก
  • สามารถปรับเพิ่มหรือลดทรัพยากรได้ทันทีตามความต้องการ
  • จ่ายเงินเฉพาะทรัพยากรที่ใช้งานจริง
  • ลดความเสี่ยงจากการประเมินความต้องการใช้งานผิดพลาด
  • ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์

ตัวอย่างการประหยัดต้นทุนในสถานการณ์จริง

สมมติว่าบริษัทของคุณกำลังวางแผนเปิดตัวแอพพลิเคชั่นอีคอมเมิร์ซใหม่ ในระบบแบบดั้งเดิม คุณจำเป็นต้องวางแผนและลงทุนในเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับการเติบโตในอีก 3 ปีข้างหน้า

ตัวอย่างการคำนวณ:

  • ความต้องการปัจจุบัน: CPU 2 คอร์, RAM 8GB, พื้นที่เก็บข้อมูล 100GB
  • การประมาณการณ์ในอีก 3 ปี: CPU 8 คอร์, RAM 32GB, พื้นที่เก็บข้อมูล 1TB
  • ต้นทุนเซิร์ฟเวอร์แบบดั้งเดิม: ประมาณ 800,000 บาท (ต้องจ่ายทันที)
    เนื่องจากต้องซื้อเครื่องที่มีสเปคสูงพอที่จะรองรับการใช้งานในอีก 3 ปีข้างหน้า
    จึงจำเป็นต้องเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง มีความเสถียร
    และมีอุปกรณ์สำรองที่จำเป็น เช่น ฮาร์ดดิสก์แบบ RAID หรือ พาวเวอร์ซัพพลายสำรอง

แต่ด้วยระบบคลาวด์แบบจ่ายตามการใช้งาน:

  • เริ่มต้นด้วย: CPU 3 คอร์, RAM 10GB, พื้นที่เก็บข้อมูล 130GB
    (เผื่อการใช้งานเพิ่ม 20-30%)
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน: ประมาณ 12,000 บาท
  • สามารถเพิ่มหรือลดทรัพยากรได้ภายในไม่กี่นาที

การรับมือกับช่วงพีค:

  • ในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์ หรือแคมเปญลดราคาใหญ่ สามารถเพิ่มสเปคเป็น 2-3 เท่าได้ทันที
  • หลังจากช่วงพีคผ่านไป สามารถลดทรัพยากรกลับมาที่ระดับปกติได้
  • ไม่สูญเสียโอกาสทางธุรกิจจากระบบที่ทำงานช้าหรือล่ม
  • จ่ายค่าบริการเพิ่มเฉพาะช่วงที่มีการใช้งานสูงจริงๆ เท่านั้น

ข้อดีที่เห็นได้ชัด:

  • ประหยัดเงินลงทุนก้อนใหญ่ในช่วงเริ่มต้น
  • จ่ายเฉพาะทรัพยากรที่จำเป็นจริงๆ
  • รองรับการใช้งานช่วงพีคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ลดความเสี่ยงจากการสูญเสียรายได้ในช่วงที่มีการใช้งานสูง
  • ใช้งบประมาณได้คุ้มค่าที่สุด เพราะจ่ายตามการใช้งานจริง

เปรียบเทียบกับบริการเช่าเซิร์ฟเวอร์แบบรายเดือน

หลายคนอาจสงสัยว่า การเช่าเซิร์ฟเวอร์แบบรายเดือนหรือรายปีที่มีค่าใช้จ่ายคงที่ จะคุ้มค่ากว่าหรือไม่ มาดูตัวอย่างการเปรียบเทียบกัน:

กรณีเช่าเซิร์ฟเวอร์แบบค่าบริการคงที่:

  • ต้องเลือกแพ็คเกจที่มีสเปคสูงพอสำหรับช่วงที่มีการใช้งานสูงสุด
  • ค่าบริการคงที่ประมาณ 25,000 บาทต่อเดือน สำหรับสเปค CPU 4 คอร์, RAM 16GB
  • แม้ช่วงกลางคืนหรือช่วงที่มีการใช้งานน้อย ก็ต้องจ่ายค่าบริการเท่าเดิม
  • การปรับเปลี่ยนสเปคทำได้ยาก ต้องเปลี่ยนแพ็คเกจใหม่ทั้งหมด

กรณีใช้คลาวด์แบบจ่ายตามการใช้งาน:

  • ช่วงการใช้งานปกติ: จ่ายเพียง 12,000 บาทต่อเดือน
  • ช่วงกลางคืนที่มีการใช้งานน้อย: สามารถลดสเปคลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
  • ช่วงแคมเปญพิเศษ: เพิ่มสเปคได้ทันที และจ่ายเพิ่มเฉพาะช่วงนั้น
  • คำนวณค่าใช้จ่ายเป็นรายชั่วโมง ทำให้ประหยัดได้มากกว่า

ตัวอย่างการประหยัดค่าใช้จ่าย:

  • ช่วงกลางวัน (8 ชั่วโมง): ใช้สเปคเต็มที่
  • ช่วงเย็น (8 ชั่วโมง): ลดสเปคลง 30%
  • ช่วงกลางคืน (8 ชั่วโมง): ลดสเปคลง 50%
  • ผลลัพธ์: ประหยัดได้ประมาณ 40% เมื่อเทียบกับค่าบริการแบบคงที่

สรุป: ระบบคลาวด์แบบจ่ายตามการใช้งาน ทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจในประเทศไทย

จนถึงตอนนี้ เราได้อธิบายถึงข้อจำกัดของระบบค่าบริการแบบคงที่ และข้อดีของระบบคลาวด์แบบจ่ายตามการใช้งาน โดยเน้นที่บริบทของธุรกิจในประเทศไทย

ระบบจ่ายตามการใช้งานนั้นเหมาะกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น สงกรานต์ หรือการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ทั้งหน้าฝนและหน้าร้อน

นอกจากนี้ การที่สามารถเริ่มต้นด้วยทรัพยากรที่เหมาะสม โดยไม่ต้องลงทุนมากเกินไปตามการคาดการณ์อนาคต ยังช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมาก

การเปลี่ยนจากระบบค่าบริการแบบคงที่มาเป็นระบบคลาวด์แบบจ่ายตามการใช้งาน ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนวิธีการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่เป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการพิจารณาเลือกโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่เหมาะสมสำหรับองค์กรของท่าน