นายซาบาสเตียน ไนล์ส ประธานฝ่ายกฎหมายและกิจการองค์กรของ Salesforce ยักษ์ใหญ่ด้านซอฟต์แวร์ระดับโลก ได้พบปะหารือกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2567 การหารือครั้งสำคัญนี้มุ่งเน้นการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลในภูมิภาค โดย Salesforce แสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนนโยบาย Cloud First ของรัฐบาลไทย พร้อมทั้งร่วมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กับบุคลากรภาครัฐและเยาวชนไทย การพบปะครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศที่มีมูลค่ากว่า 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา
Salesforce ผู้นำด้านซอฟต์แวร์ระดับโลกกับบทบาทในการพัฒนาธุรกิจดิจิทัล
Salesforce เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่มีมูลค่าตลาดกว่า 2.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์เพื่อการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ซึ่งปัจจุบันมีองค์กรกว่า 150,000 แห่งทั่วโลกใช้บริการ
ผลิตภัณฑ์หลักของ Salesforce คือ Customer 360 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงระบบการทำงานทั้งด้านการขาย การตลาด การบริการลูกค้า และการวิเคราะห์ข้อมูลเข้าด้วยกัน โดยใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์และตัดสินใจ ทำให้องค์กรสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในช่วงที่ผ่านมา Salesforce ได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลให้กับภาครัฐและเอกชนในหลายประเทศ โดยเฉพาะการสนับสนุนการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับบุคลากร และการยกระดับการให้บริการภาครัฐผ่านระบบคลาวด์
ผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย
การเข้ามาลงทุนของ Salesforce ในประเทศไทยจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในสี่ด้านหลัก
ประการแรก ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล Salesforce จะช่วยสนับสนุนนโยบาย Cloud First ของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้หน่วยงานภาครัฐสามารถให้บริการประชาชนผ่านระบบดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับการลงทุนด้านดิจิทัลที่มีมูลค่ากว่า 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา
ประการที่สอง การเติบโตของธุรกิจคลาวด์ในประเทศไทย จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ตลาดคลาวด์ในไทยจะเติบโตถึง 28% ต่อปี ระหว่างปี 2567-2570 ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และบริการดิจิทัล
ประการที่สาม การพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับบุคลากรไทย โดยเฉพาะในกลุ่มข้าราชการ ผู้หญิง และเยาวชน ซึ่งจะช่วยเตรียมความพร้อมกำลังคนสำหรับตลาดแรงงานดิจิทัลในอนาคต ผ่านโครงการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะต่างๆ
ประการที่สี่ การสนับสนุน SMEs และสตาร์ทอัพไทย ให้สามารถใช้เทคโนโลยีคลาวด์และ AI ในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดโลก และสร้างโอกาสในการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีคลาวด์ในภูมิภาคอาเซียน
นอกจากนี้ ความร่วมมือกับ Salesforce ยังรวมถึงโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดการขยะพลาสติก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
บทสรุป: ก้าวสู่อนาคตดิจิทัลของไทยด้วยความร่วมมือระดับโลก
จากที่กล่าวมาข้างต้น การเข้ามาของ Salesforce ในประเทศไทยไม่ใช่เพียงการลงทุนทางธุรกิจเท่านั้น แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
ด้วยการเติบโตของตลาดคลาวด์ในประเทศไทยที่คาดว่าจะสูงถึง 28% ต่อปี ประกอบกับนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก
ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน
การพัฒนาครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมั่นใจ และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล