เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2025 ราคาหุ้น Microsoft ร่วงลงกว่า 5% ในการซื้อขายนอกเวลา หลังบริษัทประกาศตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของบริการคลาวด์ Azure ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยคาดว่าจะเติบโตเพียง 31-32% ในไตรมาสถัดไป ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 33%
ข่าวนี้สร้างความกังวลให้กับองค์กรในประเทศไทยที่ใช้หรือวางแผนจะใช้ Azure โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Microsoft ใช้เงินลงทุนสูงถึง 22.6 พันล้านดอลลาร์ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI แต่ยังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ
ในขณะเดียวกัน การแข่งขันจากผู้ให้บริการ AI จากจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่ามาก กำลังสร้างแรงกดดันให้กับตลาดคลาวด์ทั่วโลก สถานการณ์นี้อาจส่งผลต่อการตัดสินใจด้านการลงทุนเทคโนโลยีขององค์กรไทยในอนาคตอันใกล้
สถานการณ์ที่น่ากังวลของ Azure
Microsoft กำลังเผชิญความท้าทายที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจคลาวด์ แม้ว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการร่วมมือกับ OpenAI และสร้างความโดดเด่นในตลาด AI แต่ตัวเลขการเติบโตของ Azure ที่ 31% กลับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ รายได้จากบริการ AI เพิ่มขึ้นเพียง 1% จากไตรมาสก่อนเท่านั้น
สาเหตุสำคัญมาจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่อย่าง DeepSeek ที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ OpenAI แต่มีต้นทุนต่ำกว่ามาก ตัวอย่างเช่น การประมวลผลข้อความ 1 ล้านคำ DeepSeek คิดค่าบริการเพียง 0.55 ดอลลาร์ ในขณะที่บริการของ Microsoft และ OpenAI อยู่ที่ 15 ดอลลาร์
Microsoft ใช้เงินลงทุนสูงถึง 22.6 พันล้านดอลลาร์ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้มาก แต่การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงทำให้นักลงทุนเริ่มกังวลว่าการลงทุนจำนวนมหาศาลนี้จะสร้างผลตอบแทนได้ตามที่คาดหวังหรือไม่
ผลกระทบต่อธุรกิจไทย
สถานการณ์ของ Azure ส่งผลกระทบโดยตรงต่อองค์กรในประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านต้นทุนการดำเนินงาน เนื่องจาก Microsoft ได้ลงทุนจำนวนมากในโครงสร้างพื้นฐาน จึงมีความเป็นไปได้ที่ต้นทุนนี้จะถูกส่งต่อมายังลูกค้าในอนาคต
ด้านประสิทธิภาพการให้บริการก็เป็นอีกประเด็นที่น่ากังวล Azure ยังคงต้องให้บริการผ่านศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์ ทำให้มีความล่าช้าในการเข้าถึงข้อมูล และอาจมีค่าใช้จ่ายในการส่งข้อมูลระหว่างประเทศที่สูงขึ้น
การปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ก็เป็นความท้าทายสำคัญ เมื่อไม่มีศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย องค์กรจำเป็นต้องมีมาตรการพิเศษในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจเพิ่มความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ในขณะที่คู่แข่งอย่าง AWS ได้เปิดศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยแล้ว การที่ Azure ยังไม่มีแผนชัดเจนในการขยายโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย อาจทำให้องค์กรต้องทบทวนกลยุทธ์การใช้บริการคลาวด์ของตน
สิ่งที่ผู้บริหารควรพิจารณา
ในสถานการณ์นี้ ผู้บริหารควรพิจารณาทบทวนกลยุทธ์การใช้บริการคลาวด์อย่างรอบคอบ ประเด็นแรกคือการประเมินความเสี่ยงของการใช้ Azure ในระยะยาว ทั้งในแง่ต้นทุน ประสิทธิภาพ และการปฏิบัติตามกฎหมาย
สำหรับองค์กรที่กำลังใช้งาน Azure อยู่ ควรเริ่มศึกษาทางเลือกอื่นควบคู่ไปด้วย AWS ได้เปิดศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยแล้ว และมีบริการที่ครอบคลุมความต้องการพื้นฐานขององค์กรส่วนใหญ่ การย้ายระบบบางส่วนไปยังผู้ให้บริการอื่นอาจเป็นทางเลือกที่ควรพิจารณา
ในด้านบริการ AI องค์กรไม่จำเป็นต้องผูกติดกับ OpenAI (ChatGPT) บน Azure เพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาผู้ให้บริการ Generative AI รายอื่นๆ ประกอบด้วย เพื่อให้ได้ทางเลือกที่เหมาะสมทั้งด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ
สำหรับการวางแผนระยะยาว ควรออกแบบระบบให้สามารถย้ายไปมาระหว่างผู้ให้บริการคลาวด์ได้ง่าย และควรติดตามการพัฒนาของ Azure ในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
บทสรุป
ในบทความนี้ได้นำเสนอสถานการณ์การชะลอตัวของ Azure ผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศไทย และประเด็นที่ผู้บริหารควรพิจารณา
การชะลอตัวของ Azure และความท้าทายในการแข่งขันด้าน AI กำลังส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจด้านเทคโนโลยีขององค์กรในประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านต้นทุน ประสิทธิภาพ และการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA
องค์กรควรพิจารณาทบทวนกลยุทธ์การใช้บริการคลาวด์ โดยไม่จำกัดตัวเองอยู่กับผู้ให้บริการเพียงรายเดียว การเปิดให้บริการของศูนย์ข้อมูล AWS ในประเทศไทย และทางเลือกด้าน Generative AI ที่หลากหลาย เป็นโอกาสที่องค์กรควรพิจารณาอย่างจริงจัง
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้บริหารมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการวางกลยุทธ์ด้านคลาวด์และ AI ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป